เมื่อวันก่อน เกดเจ็บเข่าอย่างมากจนเดินไม่ไหว ผมถามคุณพ่อว่าจะไปรักษาที่ไหนดี คุณพ่อแนะนำมาสองแห่ง แห่งหนึ่งเป็นของรัฐ มีชื่อเสียงเรื่องหมอกระดูกมาก อีกแห่งเป็นของเอกชน พร้อมคำแนะนำว่า ถ้าต้องการเร็วหน่อยให้ไปเอกชน ผมก็เลยพาไปโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง
ช่วงเวลาที่ผมรอคุณหมดเค้ารักษาเกด ผมก็นั่งเฉยๆ ครับ อ่านป้ายโน่นนี่ไปเรื่อยๆ แต่อย่างหนึ่งที่ผมสังเกตได้จากที่นี่ เหมือนโรงพยาบาลเอกชนหลายๆ แห่งก็คือ เดี๋ยวนี้ การรักษาพยาบาลมันกลายเป็นธุรกิจไปแล้วครับ โรงพยาบาลดูดีมีระดับมาก ดูเผินๆ ราวกับเป็นโรงแรมผสมห้างสรรพสินค้า ความรู้สึกเดิมๆ เรื่องที่เดินเข้าโรงพยาบาลไป ต้องมีกลิ่นยา มันไม่จริงอีกแล้วสำหรับโรงพยาบาลเหล่านี้
เข้าไปถึงก็มีพนักงานต้อนรับ เป็นสาวสวยแต่งตัวภูมิฐานราวกับเป็นนักธุรกิจเข้ามาไหว้อย่างสุภาพมาก พร้อมสอบถามว่าเป็นคนไข้ของที่นี่อยู่แล้วหรือไม่ แล้วก็พาไปโต๊ะเวชระเบียน ผมเห็นลักษณะคล้ายๆ แบบนี้มาในโรงพยาบาลเอกชนหลายแห่งครับ เดี๋ยวนี้เค้ายกระดับบริการจนดีมากๆ แต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนตามก็คือราคาค่าใช้จ่าย มันแพงลิบลิ่วเลยครับ เรียกได้ว่า ถ้าไม่มีประกันจ่ายให้ ก็จนได้เลยทีเดียว
ผมรู้มาได้พักหนึ่งแล้วว่าธุรกิจประเภท health care ในเมืองไทยในระยะยาวจะเจริญมาก เพราะคนไทยเรามีน้ำใจงาม บริการดี ยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่แล้ว ดังนั้นจึงเป็นที่นิยมของชาวต่างชาติที่จะเข้ามารักษาตัวในเมืองไทย นอกจากบริการดีแล้ว แพงแค่ไหนก็ถูกกว่าเมืองเค้าอยู่ดี
สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่ผมเห็นคือ
- โรงพยาบาลรัฐไม่พอ คนแน่น เป็นสาเหตุให้บริการช้า
- หมอไม่พอในโรงบาลรัฐ เพราะหมอก็เป็นคน คนเค้าก็หนีไปอยู่ที่รายได้ดีกว่า คือเอกชนและคลีนิก
- เอกชนอัพเกรดตัวเองเพราะต้องการคนต่างชาติ คนไทยก็อ่วมด้วยราคาระดับใหม่
มองไปมองมาก็รู้สึกเหมือนว่า เรื่องนี้ชี้ให้เห็นถึงช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน มันมากขึ้นทุกที
อ่า แพงจริงๆอะเทอ
เกดอยากเป็นหมอซะแล้ว อิอิ 😛
By: lookgade on July 21, 2008
at 7:14 pm
เท่าที่ทราบมาแพงจริงๆด้วยแฮะ
แต่หมอเอกชนเก่งๆ ส่วนใหญ่ก็ยังมาจากโรงพยาบาลรัฐอยู่ดีนะ
เพราะที่โรงพยาบาลรัฐบาลจะได้เจอคนไข้เยอะกว่า เป็นการสร้างความชำนาญแล้วก็ชื่อเสียงให้แก่หมอคนนั้น โรงพยาบาลจึงเชิญมารักษา
อย่างไรก็ตามปัญที่ที่ท่านวุดยกมาก็เป็นสิ่งที่น่าเก็บไปคิดดูเหมือนกันนะ หุหุ
By: PoP JeDi on July 27, 2008
at 2:02 pm